“ประจำเดือนไม่มา” เพราะลดน้ำหนักหรือเปล่า? ถ้าสาวๆ ที่ลดความอ้วนแล้วเจอปัญหานี้ มาเช็กข้อเท็จจริงกันเลยว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง?
ลดน้ำหนักได้ประมาณหนึ่งจนเริ่มจะพอใจกับรูปร่างตัวเองแล้ว แต่ประจำเดือนกลับไม่มา หรือมาก็ไม่ปกติ สาวๆ หลายคนจึงเริ่มกังวลใจว่าเป็นเพราะอะไร? ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยไม่มีปัญหา หรือว่าการลดน้ำหนักทำให้ประจำเดือนไม่มาหรือเปล่า? เอาเป็นว่า มาไขข้อข้องใจให้ชัดๆ ไปเลยดีกว่า
ลดน้ำหนักแล้ว “ประจำเดือนไม่มา” เกิดจากอะไร? เราทำพลาดตรงไหนกันแน่
ถ้ากำลังสงสัยว่าการลดน้ำหนักของเราทำให้ประจำเดือนขาด ประจำเดือนไม่มา ก็ต้องตอบว่ามีส่วนเหมือนกันนะคะ โดยคนที่ลดความอ้วนอาจเจอภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ ด้วยสาเหตุเหล่านี้
1.กินน้อยเกินไป
โดยเฉพาะคนที่ลดน้ำหนักด้วยการไม่กินไขมันเลย ซึ่งจริงๆ แล้วไขมันจำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ไข่ตกเลยล่ะ ดังนั้นหากคุณลดน้ำหนักด้วยการลดไขมัน กินให้น้อยลง หรืออดอาหาร ก็มีส่วนทำให้ฮอร์โมนร่างกายเหวี่ยงได้ ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือไม่มาเลย
2.ผอมเกินไป
บางคนอาจลดน้ำหนักโดยกินอาหารครบ 5 หมู่ตามปกติ ร่วมกับการออกกำลังกาย แต่ดันลดน้ำหนักจนผอมเกินไป หรือมีค่า BMI ที่น้อยกว่า 18.5 (วิธีคำนวณค่า BMI) หรือมีไขมันในร่างกายในระดับที่ต่ำกว่าปกติ ก็ส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุลได้เหมือนกัน สาวๆ กลุ่มนี้เลยอาจมีภาวะประจำเดือนไม่มาได้
3.ลดน้ำหนักเร็วเกินไป
การลดน้ำหนักได้เร็วก็ไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป เพราะการที่น้ำหนักลดฮวบก็ทำให้สาวๆ เจอกับปัญหาประจำเดือนไม่มาได้เช่นกัน เนื่องจากน้ำหนักตัวที่ลดอย่างฉับไวอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตฮอร์โมนที่มีความจำเป็นต่อกระบวนการตกไข่ ซึ่งส่งผลโดยตรงกับรอบเดือนของเรา
4.ออกกำลังกายหนักเกินไป
วิธีลดน้ำหนักอย่างเห็นผลควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย แต่ถ้าหากเราหักโหมจนเกินไปก็อาจส่งผลต่อรอบเดือนได้ เพราะการออกกำลังกายที่หนักอาจทำให้ไขมันในร่างกายถูกเผาผลาญเร็วเกินไป ฮอร์โมนในร่างกายก็เลยขาดความสมดุล
5.กินแป้งน้อยเกินไป
หลายคนเลือกใช้สูตรลดน้ำหนักด้วยการลดแป้งอย่างสูตรคีโต ซึ่งอาจส่งผลให้รอบเดือนผิดปกติ และอาจกระตุ้นให้มีภาวะไร้ประจำเดือน (Amenorrhea) เนื่องจากการกินแป้งน้อยเกินไปจะส่งผลต่อการสร้างฮอร์โมน GnRH ซึ่งเกี่ยวข้องกับประจำเดือน และกระทบกับการผลิตฮอร์โมนต่างๆ ที่กระตุ้นให้ไข่สุก ไข่ตก รวมทั้งเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน เทสโทสเตอโรน และฮอร์โมนเลปติน ที่คอยรักษาสมดุลของวงรอบประจำเดือนให้เป็นปกตินั่นเอง
โดยการศึกษาในวัยรุ่นหญิง 20 คน ก็พบว่า คนที่ลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตหรืองดแป้งนาน 6 เดือน มีปัญหาเรื่องประจำเดือนไม่มาถึง 45% และใน 6 คนก็พบภาวะไร้ประจำเดือน คือประจำเดือนขาดไปเลย 3 เดือน หรือขาดไปนานกว่านั้นด้วย
6.เครียดกับการลดน้ำหนัก
ความเครียดมีผลมากๆ กับฮอร์โมนในร่างกาย ดังนั้นหากเครียดกับการลดน้ำหนักมากเกินไปก็อาจเจอปัญหาประจำเดือนไม่มาได้เช่นกัน
ลดน้ำหนักแล้ว “ประจำเดือนไม่มา” แก้ไขอย่างไรดี
จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักๆ ของการลดน้ำหนักแล้วประจำเดือนไม่มา ส่วนใหญ่เป็นปัญหาของฮอร์โมน ดังนั้นเราก็สามารถปรับสมดุลฮอร์โมนให้เป็นปกติได้ ด้วยวิธีต่อไปนี้
- ลดน้ำหนักอย่างสุขภาพดี ไม่ลดเร็วเกินไป โดยลดน้ำหนักสัปดาห์ละ 0.5 กิโลกรัม โดยเฉลี่ย และพยายามรักษาระดับให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
- พยายามลดน้ำหนักแบบไม่อดอาหาร และควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ คนที่ลดแป้งก็เลือกกินคาร์โบไฮเดรตชนิดดี ส่วนคนที่ลดไขมันก็เลือกกินไขมันชนิดดีในปริมาณที่เหมาะสม
- ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ สักวันละ 30-60 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง กำลังดี
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ผอมจนเกินไปหรืออ้วนจนเกินไป
- พยายามไม่เครียด และอย่ากดดันกับการลดน้ำหนักของตัวเองจนกระทบต่อสุขภาพโดยรวม
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนหลับเป็นการปรับสมดุลร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับคนที่กังวลกับการที่ประจำเดือนไม่มา ทางเราแนะนำให้ทานยาสตรีควบคู่กับการลดน้ำหนักไปด้วย เพราะว่ายาสตรีจะช่วยปรับสมดุลในเรื่องของฮอร์โมนให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ แต่สาวๆ หลายคนคงเคยเชื่อว่าการทานยาสตรีจะทำให้อ้วนหรือน้ำหนักขึ้นหรือเปล่า? ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยค่ะ เพราะมันขึ้นอยู่กับลักษณะการทานอาหาร การใช้ชีวิต และการออกกำลังกายของเรา ยาสตรีไม่ได้มีผลทำให้อ้วนหรือน้ำหนักขึ้นแน่นอน
หรือลองไปปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงก็ได้ เพราะนอกจากการลดน้ำหนักแล้ว ก็มีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ประจำเดือนผิดปกติได้เช่นกัน
ขอขอบคุณข้อมูลประกอบจาก :
โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
โรงพยาบาลเปาโล
กรุงเทพธุรกิจ
nhs.uk
healthline.com
https://health.kapook.com/view247596.html
อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม :
เป็น “ประจำเดือน” กินทุเรียนได้ไหม?