อีกหนึ่งปัญหากวนใจที่ผู้หญิงเกือบทุกคนต้องเจอ นั่นก็คือ “ปวดท้องประจำเดือน” หรือปวดท้องเมนส์ หลายคนเข้าใจว่า การปวดประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ บางคนปวดไม่มากมีอาการเพียงเล็กน้อยจึงมักมองข้ามปัญหานี้ไป แต่รู้ไหมว่าแม้จะปวดเพียงเล็กน้อย แต่ปวดเป็นระยะเวลานานหรือแม้กระทั่งปวดท้องแบบรุนแรง นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายที่อาจจะตามมาได้

“ปวดท้องประจำเดือน” คืออะไร?

     ปวดท้องประจำเดือน คือ อาการปวดท้องน้อยในช่วงที่มีรอบเดือน โดยปกติแล้วผู้หญิงมักจะมีอาการปวดท้องประจำเดือน ปวดท้องเมนส์ ก่อนมีรอบเดือน 1-2 วัน หรือปวดระหว่างมีรอบเดือนในช่วงวันแรกๆ จะมีอาการปวดเกร็งเล็กน้อย ปวดแบบหน่วงๆ หรือรุนแรงไปจนถึงบริเวณท้องน้อย ในบางรายอาจมีอาการปวดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหลัง ปวดแขน ปวดขา ท้องผูก ท้องอืดหรือท้องเสีย เป็นต้น




สาเหตุของการ “ปวดท้องประจำเดือน”

    อาการปวดท้องประจำเดือน หรือปวดท้องเมนส์ มีสาเหตุมาจากการบีบตัวของมดลูก ในช่วงที่มีประจำเดือนเยื่อบุมดลูกจะผลิตสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นให้มดลูกมีการบีบตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1-2 วันแรกของการมีประจำเดือน

อย่างไรก็ตามอาการปวดประจำเดือนเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุด้วยกัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1.ปวดแบบปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea)

คือ อาการปวดแบบทั่วไป โดยอาการปวดประเภทนี้พบได้บ่อยที่สุด มักมีสาเหตุมาจาก เยื่อบุโพรงมดลูกผลิตสารโพรสตาแกลนดิน มากจนเกินไป

2.ปวดแบบทุติยะภูมิ (Secondary Dysmenorrhea)

อาการปวดประเภทนี้มีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพ ภาวะผิดปกติของมดลูก หรืออวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ ดังนี้

  • ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ

เกิดจากการติดเชื้อของระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยจะติดเชื้อที่มดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ หากไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด จะส่งผลให้เกิดการอักเสบและมีอาการปวดท้องในขณะที่มีประจำเดือนได้

  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

สาเหตุเกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก แม้จะเจริญผิดที่แต่ก็ยังทำหน้าที่สร้างประจำเดือนเหมือนเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ประจำเดือนมีสีแดงคล้ำ ทำให้มีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง และทำให้มีบุตรยาก

  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญภายในกล้ามเนื้อมดลูก

จะทำให้มีอาการปวดประจำเดือนอย่างมาก เนื่องมาจากมดลูกอักเสบและถูกกด ในบางรายอาจมีเลือดประจำเดือนออกมามากและมีรอบเดือนยาวนานกว่าปกติ ภาวะนี้พบได้ไม่บ่อยนัก มักพบในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปีที่มีบุตรแล้ว

  • ปากมดลูกตีบ

ภาวะนี้พบได้ไม่บ่อยนัก เกิดขึ้นจากการที่ปากมดลูกตีบแคบเกินไป ส่งผลให้เลือดประจำเดือนไหลได้ช้า ก่อให้เกิดแรงกดภายในมดลูกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีอาการปวดท้องรุนแรงและเรื้อรัง

  • เนื้องอกนอกมดลูก

มีขนาดตั้งแต่เล็กมาไปจนถึงขนาดใหญ่ เนื้องอกจะส่งผลให้มีประจำเดือนออกมามากกว่าปกติ หรือมีประจำเดือนกระปริบกระปรอยนานเป็นสัปดาห์ และมีอาการปวดประจำเดือนหรือปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้อรังร่วมด้วย

วิธีบรรเทาอาการ “ปวดท้องประจำเดือน”

  • อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น
  • นวดคลึงบริเวณท้องน้อยและหลัง
  • ใช้ถุงประคบร้อน ประคบบริเวณท้องน้อยและบริเวณหลัง
  • ทานยาแก้ปวด หรือทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์(NSAIDs) ควรทานเมื่อก่อนมีอาการปวด หรือมีอาการปวด ยาแก้ปวดอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้เมื่อมีอาการปวดแบบรุนแรงเท่านั้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ลดอาหารประเภทไขมัน อาหารที่มีเกลือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มคาเฟอีน
  • รับประทานผัก ผลไม้ อาหารย่อยง่าย และมีคุณค่าทางอาหารสูง
  • ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เช่น โยคะ นั่งสมาธิ

“ปวดท้องประจำเดือน” แบบไหนต้องไปพบแพทย์

หลายคนมองว่าปวดท้องประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ ปวดไม่นานเดี๋ยวก็หาย แต่หากมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายที่อันตรายกว่าการปวดประจำเดือนแบบทั่วไป

  • ทานยาแล้วไม่หาย
  • ปวดบีบ และปวดนานกว่า 2-3 วัน มีอาการท้องร่วงและคลื่นไส้ร่วมด้วย
  • ปวดท้องประจำเดือนมากขึ้นเรื่อยๆ หรือรู้สึกปวดท้องน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
  • มีเลือดไหลออกมามากกว่าปกติ ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยแทบทุกชั่วโมง
  • มีเนื้อเยื่อปนออกมากับเลือด เนื้อเยื่อมีสีเทา
  • มีอาการปวดท้องน้อยแม้ไม่มีประจำเดือน
  • ติดเชื้อ เช่น คันบริเวณปากช่องคลอด เลือดประจำเดือนมีสีแปลกไปจากปกติ ตกขาวมีกลิ่น
  • มีบุตรยาก
  • อายุมากกว่า 25 ปี แต่มีอาการปวดประจำเดือนแบบรุนแรงเป็นครั้งแรก
  • มีไข้พร้อมกับปวดท้องประจำเดือน

อาการปวดท้องประจำเดือน อาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดแผลที่เนื้อเยื่อ ซึ่งจะไปทำลายอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้ อาจมีไข้ มีอาการปวดท้องอย่างกระทันหันหรือรู้สึกปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการและรับการรักษา

สรุป

อาการปวดท้องประจำเดือนในผู้หญิงโดยปกติทั่วไปมักจะมีอาการไม่รุนแรง ปวดเพียงช่วงวันแรกๆ ของการมีประจำเดือนจึงไม่ต้องกังวลไป แต่หากมีอาการปวดรุนแรง และมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย ให้รีบพบแพทย์เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที

ขอขอบคุณข้อมูลประกอบจาก :
https://allwellhealthcare.com/menstruation/

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม :

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการ “ปวดท้องประจำเดือน”

“ปวดไมเกรนช่วงมีประจำเดือน” เกิดจากอะไร รับมืออย่างไรดี?

เคล็ดลับความงามจากธรรมชาติ “สวยจากภายในสู่ภายนอก”