ทำอย่างไรเมื่อมี ตกขาวสีเขียว?

ตกขาวสีเขียว หนึ่งในประเภทของตกขาวที่ผิดปกติ

อาการตกขาวเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าตกขาวมีสีและกลิ่นผิดปกติ ร่วมกับมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย แสดงว่าคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพและตกขาวผิดปกติ โดยเฉพาะอาการตกขาวสีเขียวนั้น เป็นอาการที่ส่อว่าอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ติดเชื้อหนองใน หรือติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด

เรื่องควรรู้

  • ตกขาวมีสีเขียว เป็นหนึ่งในชนิดของตกขาวที่ผิดปกติ มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อหนองใน เชื้อพยาธิในช่องคลอด
  • หากมีอาการคันร่วมกับตกขาวสีเขียว อาจเกิดขึ้นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ เพิ่ม หรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบสืบพันธุ์ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติ โรคมะเร็งปากมดลูก
  • วิธีรักษาอาการตกขาวสีเขียวส่วนมากจะเป็นการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ปริมาณที่ต้องรับประทาน และกลุ่มยานั้นจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของการติดเชื้อ
  • หากตกขาวเกิดผิดปกติไปจากเดิม ควรไปปรึกษาแพทย์ว่า เกิดความผิดปกติอะไรขึ้น จะได้หาทางรักษาได้อย่างทันท่วงที

ตกขาวสีเขียว เกิดจากอะไร?

ตกขาวสีเขียว เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ ที่พบบ่อยที่สุด คือ

1.การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด

อาการส่วนใหญ่คือมีตกขาวสีเขียว แต่ก็อาจมีตกขาวสีเหลืองปนได้เช่นกัน เกิดการอักเสบในช่องคลอด แสบ คัน และเจ็บที่อวัยวะเพศ รวมถึงอาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดร่วมด้วย

เชื้อพยาธิที่พบว่าเป็นสาเหตุของอาการตกขาวสีเขียว คือ เชื้อทริโคโมแนส วาจินาลิส (Trichomonas vaginalis) ซึ่งเป็นเชื้อโปรโตซัวชนิดหนึ่ง ติดต่อกันได้ผ่านทางเพศสัมพันธ์ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายก็จะทำให้มีอาการตกขาวผิดปกติ เป็นสีเหลือง หรือ สีเขียว

2.การติดเชื้อหนองใน

ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า ไนซีเรีย โกโนเรียอี ผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้จะมีอาการตกขาวสีเหลือง หรือ สีเขียว และอาจมีเลือดปนได้

อาการคัน หรือไม่คัน ร่วมกับตกขาวสีเขียว จะเป็นการบ่งชี้ว่าเป็นโรคอะไรหรือเปล่า?

การมีตกขาวสีเขียว อาจไม่มีอาการคันร่วมด้วย หรือเกิดร่วมกับอาการคันช่องคลอดก็ได้ โดยส่วนใหญ่อาการตกขาวสีเขียวที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิจะมีอาการคัน แต่ถ้ามีเพียงตกขาวสีเขียว ไม่มีกลิ่น และไม่มีอาการคัน อาจเป็นได้ว่าเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ

ทั้งนี้ อาการตกขาวสีเขียวยังอาจเกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งปากมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติ เป็นต้น

มีตกขาวสีเขียวหลังจากมีประจำเดือน เป็นอันตรายหรือไม่?

โดยปกติแล้ว หลังมีประจำเดือน ผู้หญิงสามารถมีอาการตกขาวได้ ตกขาวที่ปกติจะเป็นมูกขาว หรือมูกสีขาวใส ไม่มีกลิ่น

แต่ถ้าหากหลังมีประจำเดือนมีตกขาวปริมาณมากและมีสีเขียว อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา

ถ้าตกขาวสีเขียวออกมาเยอะมาก ต้องรักษาอย่างไร? กินยาอะไรดี?

การรักษาอาการตกขาวผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์หรือสูตินรีแพทย์ เพื่อทำการตรวจรักษาและยืนยันสาเหตุของการติดเชื้อก่อน จากนั้นแพทย์จะทำการสั่งยาฆ่าเชื้อที่เป็นต้นเหตุ เช่น

1.หากเกิดจากการติดเชื้อพยาธิ

สามารถรักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ คือ เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) แต่จะให้ขนาดสูงกว่ากรณีติดเชื้อแบคทีเรีย คือ 2,000 มิลลิกรัม รับประทานครั้งเดียว หรือ Tinidazole 2 กรัม รับประทานครั้งเดียว และควรรักษาคู่นอนด้วย

แต่ก็สามารถให้ยา (Metronidazole) 500 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น เป็นเวลาติดต่อกัน 7 วัน เป็นการรักษาทางเลือกได้เช่นกัน

2.หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

แพทย์จะให้รับประทานยาปฏิชีวนะ เช่น เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) 500 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น เป็นเวลาติดต่อกัน 7 วัน

หรือยาปฏิชีวนะในกลุ่มใกล้เคียง เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) 300 mg รับประทาน วันละ 2 ครั้ง นาน 7 วัน หรือใช้เป็นแบบสอดเข้าทางช่องคลอดก็ได้

นอกจากอาการตกขาวสีเขียวที่พบบ่อย ทั้ง 2 ชนิดแล้ว ถ้ามีอาการตกขาวเป็นสีเขียวแต่ไม่มีอาการคัน ไม่มีกลิ่น ให้คุณลองสังเกตดูว่า ตกขาวที่ออกมาใหม่ๆ เป็นอย่างไร

ถ้าตอนแรกตกขาวเป็นสีขาว ไม่มีกลิ่น แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียวเมื่อสัมผัสอากาศภายนอก อาจจะเป็นตกขาวปกติที่ไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้

ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัย ควรจะสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยจะเป็นการดีที่สุด

บทความอื่นๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ตกขาว”

“ตกขาว” เรื่องที่ผู้หญิงควรรู้ แบบไหนผิดปกติ

“ตกขาว” ใช้ “ยาสตรี” ช่วยได้หรือไม่?

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก :
https://hd.co.th/green-leucorrhea

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม :

อาหารต้องห้าม-อาหารต้องกิน เมื่อมี “ประจำเดือน”

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ “ประจำเดือน”

กินยาสตรีตอนตั้งครรภ์ มีผลอย่างไร?